วัสดุก่อสร้างคึกเหล็กฟื้น-ปูนบูม

นายไพศาล  ธรสารสมบัติ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ค้าเหล็กไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแนวโน้มอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศโดยคาดว่าจะเติบโตในอัตรามากกว่า  10% หรือปริมาณ 9.9 ล้านตัน  จากปีที่ผ่านมามีประมาณการใช้เหล็กอยู่ 9 ล้านตัน  ลดลงจากปีก่อนหน้า  30%  ที่มีมูลค่าประมาณ 13 ล้านตัน ซึ่งในปีที่ผ่านมาภาพรวมอุตสาหกรรมเหล็ก  ได้รับผลกระทบจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจและปัญหาทางการเมืองภายในประเทศ รวมถึงปัญหาของนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด

 


"ปีที่แล้วมาตรการภาครัฐที่มีออกมา  ได้ส่งผลช่วยให้อุตสาหกรรมไม่แย่ไปกว่านี้  และยังมีแนวโน้มที่จะส่งผลต่อเนื่องมาถึงปีนี้ด้วย  จากโครงการงบไทยเข้มแข็ง โครงการรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ ที่เริ่มประมูลกันออกมาและมีการเซ็นสัญญาบ้างแล้ว  การก่อสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ของภาครัฐ ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจก็เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น ทั้งภาคการส่งออก  การเตรียมขยายกำลังการผลิตของเอกชนรองรับคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ  ส่วนปัญหามาบตาพุดเชื่อว่านับจากนี้อีก 8 เดือนคงจะดำเนินการได้  ขณะที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เอง  ก็เริ่มมีการก่อสร้างมากขึ้นจากที่ชะลอการพัฒนาโครงการในปีที่ผ่านมา"

 


ด้านนายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่เครือซิเมนต์ไทย หรือ
SCG  กล่าวว่า  อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ในปีที่ผ่านมามีการเติบโตในอัตรา 1% จากปีก่อนหน้า  และนับเป็นปีแรกที่ตลาดเริ่มเป็นบวก หลังจากที่เติบโตติดลบมาตลอดระยะเวลา 4 ปี ซึ่งเป็นผลจากโครงการไทยเข้มแข็งที่ทำให้ตลาดเติบโตเพิ่มขึ้น  โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 3 ของปีที่แล้วที่ตลาดเติบโตเป็นบวกในอัตรา 7% และในอัตรา 13% ในไตรมาสที่ 4 ซึ่งโดยปกติปูนซีเมนต์ที่เกี่ยวข้องกับงานโครงสร้างพื้นฐานจะมีสัดส่วนประมาณ 32% ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้วสัดส่วนดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 37%

 


"ปีที่แล้วสัดส่วนการใช้ปูนซีเมนต์ในกลุ่มธุรกิจเอกชน  โดยเฉพาะในส่วนของคอมเมอร์เชียล ประเภทการก่อสร้างโรงงาน ธุรกิจค้าปลีก อาคารให้เช่า ลดลงอย่างชัดเจน จากสัดส่วน 18% เหลือเพียง 14% ขณะที่งานอินฟราสตรักเจอร์กลับเพิ่มขึ้นสูงอย่างชัดเจน  ถือเป็นความสำคัญของโครงการต่างๆ ที่รัฐบาลออกมา  ส่วนปีนี้แม้ว่าจะยังไม่เห็นโครงการใหญ่ๆ ออกมามากนัก ยังเป็นโครงการเล็กๆ ที่กระจายอยู่ต่างจังหวัด  แต่ก็เริ่มมีสัญญาณที่ดีจากเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่เริ่มดำเนินการแล้ว ส่วนสัญญาที่ 2 ก็เซ็นแล้วด้วย  คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังคงเห็นการใช้คอนกรีตเพิ่มมาขึ้น  ส่วนปัญหาทางด้านการเมืองคงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้แล้ว"               

 


ขณะที่นายประทีป ทีปกรสุขเกษม ประธานกรรมการบริหาร
  บริษัท  ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน)  หรือ CCP กล่าวว่า ได้เซ็นสัญญากับ บริษัท  ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) เพื่อจำหน่ายคอนกรีตผสมเสร็จให้กับบริษัท  ซิโน-ไทยฯ เป็นมูลค่า 600 ล้านบาท หรือประมาณ 4.5-5 แสนคิว  เพื่อใช้สำหรับโครงการก่อสร้างงานสัญญาที่ 2 งานก่อสร้างโครงสร้างยกระดับ (ส่วนตะวันตก) โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ  ที่มีมูลค่า 13,100 ล้านบาท  โดยทางบริษัทยังได้เซ็นสัญญาซื้อปูนซีเมนต์ผงกับบริษัท ปูนซีเมนต์เอเชีย จำกัด (มหาชน) และบริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง  จำกัด (มหาชน)

 


ด้านนายวัลลภ รุ่งกิจวรเสถียร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ
STEC กล่าวว่า  ในปีนี้ทางบริษัทตั้งเป้าหมายการรับรู้รายได้ 10,000-12,000 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา แต่มีกำไรที่ดีขึ้นคาดว่าปีนี้จะมีกำไร 5% จากปีที่ผ่านมามีกำไร 4%  โดยปีนี้คาดว่าจะมีปริมาณงานกว่า 37,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการรับงานใหม่ 20,000 ล้านบาท และงานเก่าในมือ (Backlog) ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและทยอยส่งมอบอีก กว่า  17,000 ล้านบาท และยังมีงานที่อยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญาอีก 4 โครงการรวมมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท เช่น  อาคารศาลฎีกา มูลค่า 2,300 ล้านบาท และระบบท่อส่งน้ำ จันทบุรี มูลค่า 1,200 ล้านบาท

 


นายวัลลภ
  กล่าวอีกว่า  แนวโน้มการได้งานใหม่ของบริษัท  คาดว่าจะได้รับผลดีจากโครงการภาครัฐ โดยได้ปรับเพิ่มสัดส่วนงานภาครัฐเป็น 70-75% ซึ่งนอกเหนือจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง บางใหญ่ - ราษฎร์บูรณะ ช่วงบางใหญ่ - บางซื่อ  สัญญาที่ งานโครงสร้างยกระดับ (ฝั่งตะวันตก) ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยหรือ รฟม.รวมระยะทาง 11 กม. รวมสถานี 8 แห่ง มูลค่าโครงการกว่า 1.3 หมื่นล้านบาทแล้ว  บริษัทยังให้ความสนใจในการเสนอราคาโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน มูลค่ารวมกว่า 5.2 หมื่นล้านบาท โดยโครงการนี้แบ่งออกเป็น 5 สัญญา ซิโน-ไทย จะเข้าร่วมประมูลทุกสัญญา คาดว่าจะต้องจอยต์เวนเจอร์เพื่อเข้าร่วมประมูลสัญญาที่ 1 และ 2 เนื่องจากบริษัทผู้เข้าร่วมประมูลต้องมีประสบการณ์ในการก่อสร้างอุโมงค์ใต้ดินขนาดใหญ่

 


"โครงการต่างๆ ที่รัฐบาลออกมากระตุ้นเศรษฐกิจ  รัฐบาลควรเร่งเบิกจ่ายโดยเร็วโดยเฉพาะ โครงการงบไทยเข้มแข็งและงบประมาณประจำปี ซึ่งเป็นงานก่อสร้างประเภท ถนน อาคาร และสะพาน  และงบประมาณประจำปี รวมถึงงานภาคเอกชนเช่นงานของรัฐวิสาหกิจ งานโรงพยาบาล และสถานการศึกษาต่างๆ ซึ่งบริษัทก็ให้ความสนใจทุกโครงการ แต่จะเป็นอะไรก่อนหลังนั้นขึ้นอยู่กับว่ามีโครงการไหนมีการเปิดประมูลออกมาก่อน  แต่หากโครงการภาครัฐออกมาช้าหรือมีปัญหา  บริษัทก็อาจจะปรับไปรับงานเอกชนมากขึ้นได้"

 

 

 



ที่มา ฐานเศรษฐกิจ 8/02/2553